Categories
ข่าว

โดนแล้ว! ศาลอาญาฯรับฟ้อง กกต.กลั่นแกล้ง ‘พิธา’- จัดเลือกตั้งไม่โปร่งใส

วันที่ 18 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต ทนายความ ได้ยื่นฟ้องนายอิทธิพร บุญประคอง กับพวก รวม 7 คน ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำการโดยทุจริต เจตนาร่วมกันออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ประกาศผลการเลือกตั้ง และส่งเรื่องนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยคุณสมบัติของนายพิธา

โดยคำฟ้องโจทก์สรุปว่า จำเลยทั้งเจ็ดได้บังอาจกระทำผิดเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนา ร่วมกันออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งสส. พ.ศ.2566 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดวันรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อ ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

จำเลยทั้งเจ็ดทุจริต เจตนาร่วมกัน แบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยออกแบบบัตรเลือกตั้งทั้งการเลือก สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อให้แตกต่างจากการเลือกตั้งหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา พิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินกว่าจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 7 ล้านใบ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสส. ตลอดจนประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศไม่เข้าใจ หรือสับสน วุ่นวาย รวมทั้งออกระเบียบ ประกาศต่างๆ ในลักษณะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พรรครัฐบาลเดิมชนะการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2

จำเลยทั้งเจ็ดย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนนิยมฝ่ายรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน โดยก่อน ขณะ หรือหลังรับสมัคร รับเลือกตั้ง สส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง จำเลยทั้งเจ็ดมีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนว่าผู้ใดไม่มีคุณสมบัติ และ หรือขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามกฎหมาย แต่จำเลยทั้งเจ็ดหาไม่ได้ทำตามอำนาจหน้าที่ ปล่อยล่วงเลยมาจนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป คือวันที่ 14 พ.ค.66 มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองหนึ่งมายื่นคำร้องต่อจำเลยทั้งเจ็ดกล่าวหาว่านายพิธา ถือหุ้นสื่อไอทีวี ประมาณ 4.2 หมื่นหุ้น จึงอาจหรือขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และต่อมามีผู้ยื่นข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน แต่จำเลยก็ไม่ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัย โดยพลันตามกฎหมาย หรือไม่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามกฎหมาย

นอกจากนี้ พวกจำเลยยังมีพฤติการณ์ที่น่าเคลือบแคลงสงสัยหลายประการ เช่น ประกาศผลการเลือกตั้งช้ากว่าที่ควร ปฏิเสธไม่รับความช่วยเหลือจากหน่วยหรือองค์กรเอกชน และไม่เลือกใช้การสื่อสารที่ทันยุคทันสมัยแต่อย่างใด โดยผลการเลือกตั้งสส. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 ปรากฏว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า 14 ล้านคนรวมทั้งโจทก์ด้วยเลือกพรรคก้าวไกล จนพรรคก้าวไกลได้ สส.มากเป็นอันดับหนึ่งจำนวน 151 คน แต่จำเลยทั้งเจ็ด เจตนาร่วมกันกลั่นแกล้งนายพิธา ด้วยการประชุมวินิจฉัยลงมติ หรือมีความเห็นร่วมกันส่งเรื่องที่นายพิธา ถูกร้องเรียนว่าถือหุ้นสื่อไอทีวี ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างเร่งรีบ โดยพวกจำเลยมิได้ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน ตามอำนาจหน้าที่ หรือตามขั้นตอนของกฎหมายแต่อย่างใด อันเป็นการดำเนินการก่อนหรือขณะวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.66 เพื่อลดความน่าเชื่อถือของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ต่อสมาชิกรัฐสภา ทั้งที่นายพิธา เป็น สส.มาจนครบ 1 สมัยหรือสี่ปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้ใดร้องคัดค้านแต่อย่างใด จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์และหรือนายพิธา ได้รับความเสียหาย

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำสั่งให้รับคดีไว้เพื่อตรวจฟ้อง และนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา วันที่ 8 ส.ค. เวลา 09.30 น.